ประวัติศาสตร์จังหวัดพังงา
การกล่าวถึงประวัติจังหวัดพังงา
จะหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงเรื่องราวประวัติของ "ตะกั่วป่า" เสียก่อนไม่ได้ เนื่องจากปราชญ์ทางประวัติศาสตร์ ยอมรับแล้วว่า "ตะกั่วป่า" ได้เคยเป็นบ้านเมือง เป็นที่รู้จักกันดีไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว แม้ขณะนี้จะมีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งก็ตาม
ส่วนจังหวัดพังงานั้นเพิ่งมาตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นเมื่อ
พ.ศ.๒๓๕๒
ในรัชกาลที่ ๒ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์
หรือเมื่อประมาณ ๑๗๖ ปีมานี้เอง
สมัยอาณาจักรศรีวิชัย
เดิมทีนั้นบนแหลมมลายูรวมทั้งส่วนบนที่เป็นของไทยด้วย
ได้เป็นที่อยู่ของพวกพื้นเมืองเดิม อันได้แก่ พวก "เซมัง" และ "ซาไก" มาก่อน
ต่อมามีชนอีกพวกหนึ่งเรียกกันว่า "ชนพูดภาษามอญ -
เขมร" อพยพแผ่ลงมาจากทางเหนือเข้ามายึดริมแม่น้ำตอนใกล้
ๆ ชายทะเลเป็นถิ่นฐานเรื่อยลงไปจน ถึงปลายแหลมมลายู
ชนพวกนี้ส่วนหนึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำสาละวิน เป็นชนชาติมอญ
อยู่ในแม่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นละว้าและปากแม่น้ำโขงเป็นชนเขมร เฉพาะส่วนที่ลงมาอยู่บนแหลมมลายูนั้นกลายเป็น "พวกมลายูเดิม" แต่ไม่พูดภาษามลายู
ต่อมามีชนพวกพูดภาษามอญ
- เขมร
ได้อพยพใหญ่ลงมาตามแนวทางเดิมอีกคราวหนึ่ง ในครั้งนี้ชนพูดภาษามอญ - เขมร
ได้เจริญขึ้นมากแล้วได้ทำเรือแพข้ามไปอยู่บนเกาะสุมาตรา ชวาและบอร์เนียว
และได้เข้ามาขับไล่เอาพวกมลายูเดิมที่ด้อยความเจริญกว่าให้เข้าไปอยู่ในป่าบ้าง
หนีไปอยู่ตามชายทะเลห่างไกลบ้าง กลายเป็นพวก "จากุน"
ไป และอยู่ตามชายฝั่งทะเลไทยเรียกว่า "ชาวเล" หรือ "ชาวน้ำ" ภาษาราชการเรียกว่า "ชาวไทยใหม่"
ในสมัยใกล้เคียงกัน
พวกชาวอินเดียที่มีอารยธรรมสูงได้เริ่มเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย
เนื่องจากชาวอินเดียเหล่านี้มีความฉลาดกว่า มีวัฒนธรรมสูงกว่า
จึงได้ถ่ายทอดวัฒนธรรม เช่น ศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี อาหารการกิน ฯลฯ
ให้แก่ชาวพื้นเมือง ในที่สุดชาวอินเดียก็ได้เข้าผสมกับชาวพื้นเมือง
และมีอำนาจปกครองแหลมมลายูอยู่เป็นเวลาหลายร้อยปี เมื่อเสื่อมอำนาจลงพวกเขมร (เมืองละโว้) ลงมาชิงได้บ้านเมือง
แต่เขมรปกครองอยู่ได้ไม่นานชนชาติไทยได้เป็นใหญ่ในประเทศสยาม (ณ กรุงสุโขทัย) ก็ขยายอำนาจลงมา
ได้แหลมมลายูตอนข้างเหนือไว้เป็นอาณาเขต ตั้งแต่
พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษเป็นต้นมา
พร้อมๆ
กันนั้นพวกแคว้นมลายู ซึ่งอยู่บนตอนเหนือของเกาะสุมาตราได้มีอำนาจมากขึ้น
จึงได้ข้ามฟากมาตั้ง "อาณาจักรมาลักกา"
ขึ้นบนปลายแหลมมลายู แล้วยกทัพขึ้นมาทำสงครามยึดเอาเมืองต่าง ๆ
ทางเหนือ ในที่สุดไปปะทะกับอิทธิพลของไทยสุโขทัยตรงสี่จังหวัดภาคใต้
แล้วก็หยุดลงแค่นั้น ชนชาวมลายูที่ข้ามเข้ามาใหม่นี้ได้นำเอาวัฒนธรรมมลายู มีภาษา
การนุ่งห่ม ขนบธรรมเนียมประเพณีมาให้แก่บ้านเมืองบนแหลมมลายูที่ตีได้
ต่อมาชาวมลายูบนเกาะสุมาตราได้อพยพเข้ามาอยู่บนแหลมมลายูมากขึ้น
ทั้งได้นำเอาศาสนาอิสลามที่ได้ก่อกำเนิดขึ้นในสุมาตราก่อน
เข้ามาให้ชนชาวพื้นเมืองเดิมด้วย ทำให้ชนชาวพื้นเมืองเดิมเหล่านั้นค่อยๆ
กลายเป็นชาวมลายูไปโดยปริยาย
ชนชาวมลายูที่ยกเข้ามาจากสุมาตราเข้ามาอยู่ใหม่นี้เรียกว่า "พวกชาวมลายูใหม่" โดยเหตุนี้เองวัฒนธรรมต่างๆ
ของชนชาวมลายูตอนล่าง จึงได้แตกต่างกับชนชาวไทยที่อยู่ตอนบน
ในสมัยกรุงสุโขทัย
พระมหากษัตริย์ไทยได้ส่งกองทัพไปตีและได้เข้าครอบครองดินแดนบนแหลมมลายูทั้งหมดหลายครั้ง
บางครั้งได้ข้ามไปปกครองเมืองบางเมืองบนเกาะสุมาตรา ต่อมาเมื่อชาวยุโรปเข้ามามีอิทธิพลจึงได้ถูกชนชาวยุโรปยึดเอาแหลมมลายูตอนล่างไปปกครอง
ในสมัยที่การแล่นเรือข้ามช่องมะละกาไม่ปลอดภัยจากโจรสลัด
และต้องใช้เวลาแล่นเรืออ้อมความยาวของแหลมมลายูมากนั้น
ชาวอินเดียได้เดินเรือใบมายังชายฝั่งตะวันตกของแหลมมลายู
ซึ่งทอดจากเหนือลงมาใต้ขวางทิศทางอยู่
ส่วนหนึ่งได้มาขึ้นจอดที่ท่าเมืองสำคัญเมืองหนึ่งบนฝั่งทะเลด้านนั้น คือท่า "เมืองตักโกลา" หรือ "ตะโกลา" หรือเมือง
"ตะกั่วป่า" ในปัจจุบัน
ทั้งนี้เพราะในอ่าวหน้าเมืองเป็นที่ทอดสมอจอดเรือหลบมรสุมได้เป็นอย่างดีทุกฤดูกาล
นอกจากนั้นสามารถขนถ่ายสินค้าเดินทางบก
เพื่อข้ามไปลงเรือซึ่งคอยรับอยู่ในอ่าวบ้านดอนอีกฟากหนึ่งของแหลมมลายูใกล้มาก
ทั้งนี้เพราะได้อาศัยลำแม่น้ำตะกั่วป่าเป็นทางลำเลียงสินค้าด้วยเรือเล็กขึ้นไปทางต้นน้ำได้ไกลมาก
จนกระทั่งน้ำตื้นมากเรือเล็กไปไม่ไหวแล้ว
จึงได้ลำเลียงสินค้าขึ้นหลังช้างหรือวัวต่างม้าต่างเดินบกข้ามสันเขาราวๆ ๕-๖ ไมล์
ก็จะถึงต้นน้ำคีรีรัฐ ถ่ายสินค้าลงเรือล่องลงไปตามลำน้ำคีรีรัฐจนถึงปากแม่น้ำ
ถ่ายของขึ้นเรือใหญ่แล่นออกทะเลไป หรือถ่ายของขึ้นเมืองไชยา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อุดมสมบูรณ์
มีผู้คนมากอยู่ในอ่าวบ้านดอนก็ได้ ก็โดยเหตุที่เป็นเส้นทางเดินแวะพักเช่นนี้เอง จึงพบว่า บริเวณเมืองไชยาและเมือง ตักโกลา
มีโบราณวัตถุที่แสดงว่ามีชนชาวอินเดีย และชนชาติอื่นๆ
เคยเดินทางผ่านและเคยมาพักอยู่มาก
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๑
พระเจ้าปะดุงกษัตริย์พม่าพิจารณาเห็นว่าเมืองไทยกำลังอ่อนกำลังลงเพราะได้สิ้นแม่ทัพนายกองที่เข้มแข็งไปหลายคน
เช่น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นต้น
ทั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ทรงพระชรามากแล้ว
ควรจะถือโอกาสไปตีเมืองไทยล้างความอับอายที่ได้พ่ายแพ้มาแล้วหลายหน จึงให้อะเติงหวุ่นเป็นแม่ทัพ
เกณฑ์คนเตรียมยกทัพมาตีเมืองไทย แต่การเกณฑ์คนเข้ากองทัพมีอุปสรรค
เสร็จไม่ทันจึงให้ยับยั้งการมาตีเมืองไทยไว้และปล่อยคนเกณฑ์
ในขณะที่ยังปลดปล่อยคนยังไม่หมดนั้นก็พอทราบว่าเมืองไทยเปลี่ยนรัชกาลใหม่ (๑) ความกลัวพระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าก็หมดไป
อะเติงหวุ่นจึงขอยกกองทัพที่เหลือมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ด้านฝั่งทะเลตะวันตก
เพื่อกวาดผู้คนและเก็บทรัพย์ได้พอคุ้มกับทุนรอนที่ได้ลงไปแล้ว โดยแบ่งกำลังออกเป็น ๒ กองทัพ
ยกมาทางเรือมาตีเมืองถลางกองทัพหนึ่ง อีกกองทัพหนึ่งให้เดินมาตีเมืองระนอง กระบุรี
และชุมพร
ทางกรุงเทพฯ
ได้ข่าวศึกล่วงหน้าสองเดือน จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรเป็นแม่ทัพใหญ่มีกำลัง ๔ หน่วย คือ
พระยาทศโยธากับพระยาราชประสิทธิ์เป็นแม่ทัพไปเกณฑ์กองทัพเมืองไชยา
ยกข้ามแหลมมลายูไปรักษาเมืองถลางไว้ก่อนหน่วยหนึ่ง เจ้าพระยายมราช (น้อย) เป็นแม่ทัพหลวงกับพระยาท้ายน้ำแม่ทัพหน้ารีบลงไปเกณฑ์กำลังเมืองนครศรีธรรมราชยกไปช่วยเมืองถลางหน่วยหนึ่ง
ให้พระยาจ่าแสนยากร (บัว) เป็นแม่ทัพยกกำลังจากกรุงเทพฯ ๕,๐๐๐
ไปเป็นกำลังส่วนกลางคอยช่วยเหลือทัพอื่นหน่วยหนึ่ง
และเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีได้เสด็จไปรวมพลจัดกองทัพอยู่ที่เมืองเพชรบุรี
ด้วยเข้าใจว่ากองทัพพม่าจะยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์ แต่เมื่อไม่มีวี่แววพม่ามาทางนั้น ก็ยกกำลังไปรวมกับกองทัพใหญ่
ซึ่งกรมพระราชวังบวรยกจากพระนครโดยทางเรือถึงเป็นเพชรบุรี
เคลื่อนทัพบกตรงไปเมืองชุมพร ในการทัพคราวนี้นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) ได้ไปในกองทัพด้วย
ได้แต่งโคลงนิราศไพเราะเป็นที่นิยมยกย่องของบรรดากวีไว้เรื่องหนึ่ง ชื่อ "นิราศนรินทร์ "
จะเห็นว่า
การทัพคราวนี้ได้แบ่งกำลังออกเป็น ๒ ส่วน คือ
ส่วนที่ไปป้องกันเมืองถลางได้เกณฑ์กำลังจากหัวเมืองปักษใต้ ทัพส่วนที่ไปป้องกันหัวเมืองอื่นๆ
ได้เกณฑ์กำลังหัวเมืองชั้นใน
กองทัพของพม่าที่ยกมาทางเรือตีได้เมืองตะกั่วป่า
ตะกั่วทุ่ง
ซึ่งพลเมืองน้อยได้อย่างง่ายดาย
เพราะพอได้ข่าวว่ากองทัพพม่ายกมาผู้คนก็อพยพครอบครัวเข้าป่าไปหมด
ไม่มีการต่อสู้ จากนั้น กองทัพส่วนนี้ของพม่าได้ยกขึ้นเกาะภูเก็ตล้อมเมืองถลางไว้
ล้อมอยู่เดือนกว่าก็ตีเมืองไม่ได้
เพราะพระยาถลางป้องกันแข็งแรงนัก จึงได้คิดอุบายทำทีว่าลงเรือกลับไปแล้ว
แต่ไปซุ่มคอยทีอยู่ที่เกาะยาว
พระยาถลางตกหลุมพรางปล่อยผู้คนออกจากเมืองไปทำมาหากิน พม่าได้ทีจึงจู่โจมเข้าล้อมเมืองถลางใหม่
คราวนี้ก็ล้อมเมืองภูเก็ตไว้ด้วย
กองทัพไทยที่จะยกมาช่วยป้องกันเมืองถลาง
เกณฑ์กองทัพได้แล้วยกข้ามแหลมมาถึงเมืองชายฝั่งตะวันตก
แต่หาเรือลำเลียงกำลังส่วนใหญ่ข้ามฟากไปยังฝั่งเกาะภูเก็ตไม่ได้
คงได้แต่เก็บเอาเรือชาวบ้านบรรทุกกำลังส่วนหนึ่งล่วงหน้าไปได้ แต่ขณะที่เรือกำลังข้ามฟากไปนั้น
ได้ปะทะเข้ากับเรือพม่าที่ออกมาลาดตระเวนหาเสบียง จึงเกิดรบกันขึ้น
บังเอิญเรือแม่ทัพไทยเกิดระเบิดขึ้นตัวแม่ทัพถึงแก่ความตาย
ขบวนเรือที่เหลือจึงแล่นหลบเข้าอ่าวเมืองกระบี่ไป
กองทัพพม่าก็ยังคงล้อมเมืองถลางและเมืองภูเก็ตอยู่ตามเดิม
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ยกมาทางบกนั้นตีได้เมืองมะลิวัน
เมืองระนอง และเมืองกระบุรี
แล้วยกกำลังข้ามเข้ามาทางฝั่งตะวันออกตีเมืองชุมพรอีกเมืองหนึ่ง
แต่ยังไม่ทันจะตีเมืองอื่นต่อไป
ก็ถูกกองทัพไทยส่วนที่ยกมาทางบกเพื่อป้องกันหัวเมืองปักษ์ใต้ตีแตกไปและปราบปรามข้าศึกลงไปจนถึงเมืองตะกั่วป่า
ครั้นพม่าแตกหนีไปหมดแล้ว ทัพหลวงก็ไปพักพลรอฟังข่าวทางเมืองถลางอยู่ที่เมืองชุมพร
ข่าวกองทัพใหญ่ของไทยยกกำลังลงไปช่วยเมืองถลางนี้รู้ไปถึงกองทัพพม่าที่ล้อมเมืองถลางและเมืองภูเก็ตอยู่
จึงเร่งตีเมืองถลางแตก จับผู้คนและเก็บกวาดทรัพย์สมบัติไปรวมไว้ที่ค่ายแล้วให้เผาเมืองเสีย
ขณะนั้นก็พอดีกองทัพไทยยกมาใกล้จะถึงเกาะชะรอยพม่าจะได้ข่าวอยู่แล้ว
ครั้นคืนวันหนึ่งเกิดลมกล้าพม่าอยู่ที่เมืองถลางได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง
สำคัญว่าเสียงปืนกองทัพไทย แม่ทัพพม่า
ตกใจรีบสั่งให้อพยพผู้คนขนทรัพย์สิ่งของลงเรือหนีไปโดยด่วน พม่ายังไปไม่หมดกองทัพไทยถึงจึงเข้า
ตีพม่าส่วนที่เหลือได้ผู้คนและข้าวของกลับคืนมาเป็นอันมาก
เมื่อมีชัยชนะพม่าแล้วกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงพระราชดำริว่าเมืองถลางพม่าก็เผาเสียแล้ว จะกลับตั้งขึ้นมาใหม่ก็ไม่เป็นที่ไว้ใจได้ ด้วยกำลังที่รักษาบ้านเมืองอ่อนแอลงกว่าแต่ก่อน
หากว่ากองทัพพม่าจู่โจมมาอีกก็จะรักษาไว้ไม่ได้ หัวเมืองต่างๆ จะยกไปช่วยก็ไม่ทันการณ์ เพราะหาเรือไม่ได้ จึงโปรดให้รวบรวมผู้คนพลเมืองถลางที่เหลืออยู่ อพยพข้ามฟากมาตั้งภูมิลำเนาที่ "ตำบลกราภูงา" ซึ่งตั้งอยู่บนปากแม่น้ำพังงา แขวงเมืองตะกั่วทุ่ง และจัดการปกครองขึ้นเป็นบ้านเมืองในรัชกาลที่
๒ นี้เอง ดังปรากฏอยู่ในทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราชครั้งรัชกาลที่ ๒
ซึ่งกำหนดขึ้นใน จ.ศ.๑๑๗๑ (๒๓๕๔) ได้ออกชื่อเมืองพังงาด้วย
แต่ขณะนั้นเรียกว่า "เมืองภูงา" และเป็นการยืนยันว่า
ในครั้งนั้นเมืองพังงาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช
ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๓
ได้เกิดปัญหาการเมืองขึ้นในเมืองไทร คือ
เชื้อสายเจ้าพระยาไทรบุรีเดิมได้รับการยุยงจากอังกฤษที่ปีนัง ยกกำลังเข้าตีเมืองไทรได้
เจ้าเมืองอันได้แก่พระยาไทรบุรีและพระยาเสนานุชิต บุตรพระยานคร ซึ่งรักษาเมืองมาแต่รัชกาลที่ ๒ ต้องหนีมาอยู่ที่เมืองพัทลุง จึงโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษายกทัพไปปราบ
แต่พอไปถึงก็ทราบว่าเจ้าพระยานครกลับจากกรุงเทพฯ มาถึงก่อน
เกณฑ์ทัพเมืองนครและเมืองพัทลุงให้พระยาไทรบุรีและพระยาเสนานุชิต และ
วิชิตสรไกรไปตีได้เมืองไทรกลับคืนมาแล้วจึงไม่ต้องไปตี แต่ก็พอได้ข่าวว่าพระยากลันตันกับ
พระยาบาโงย
ซึ่งมีตนกูประสากับบุตรด้วยวิวาทถึงกับสู้รบกัน
จึงได้ให้คนไปเชิญทั้งสามคนมาระงับข้อวิวาทที่เมืองสงขลา ทีแรกก็ไม่มีใครมา
ต่อเมื่อให้พระยาไชยาคุมกำลังลงไปขู่ทั้งสามจึงยอมมาเมืองสงขลา
แล้วก็ตกลงเลิกรบทำหนังสือสัญญาให้ไว้ต่อกันได้สำเร็จ
จากเหตุการณ์คราวนี้เป็นบทเรียนให้เห็นว่าการใช้ข้าราชการไทยลงไปปกครองเมืองที่ประชาชนเป็นชาวมุสลิมดังที่ทำมาแล้วนั้นไม่มีทางที่จะราบรื่นไปได้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงใช้วิธีการแบ่งการปกครองออกเป็นส่วนย่อยๆ ดังที่รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงใช้กับเมืองปัตตานีได้ผลดีมาแล้ว
คือ แบ่งพื้นที่เมืองไทรออกเป็น ๔ เมืองเล็ก
แล้วแต่งตั้งให้ชนชาวมลายูที่มีใจสวามิภักษ์ต่อแผ่นดินไทยเป็นเจ้าเมืองใน พ.ศ. ๒๓๘๓
เมื่อเสร็จจากระงับเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างเจ้าเมืองในมลายูคราวนี้แล้ว
พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชดำริจะทรงปรับปรุงหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตกที่ถูกพม่าทำลายยับเยินมาแล้วนั้น
ให้กลับฟื้นคืนดีขึ้นมาใหม่ และมีความเข้มแข็งป้องกันตนเองได้ด้วย
จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไทร (เลื่อนมาจากพระยาภักดีบริรักษ์แสง) เป็นผู้ว่าราชการเมืองพังงา พระยาเสนานุชิต(ปลัดเมืองไทรเดิมและได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาแล้ว) เป็นผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า
และให้พระยาตะกั่วทุ่ง (ถิน) เป็นผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วทุ่ง
ส่วนเมืองถลางนั้นยังมีความสำคัญอยู่ โปรดเกล้าฯ ให้แบ่ง
ชาวเมืองถลางที่หนีไปอยู่เมืองพังงากลับไปตั้งเมืองถลางขึ้นอีก
แต่ตั้งเมืองใหม่ด้านตะวันออกของเกาะเมืองเหล่านี้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ
ในสมัยรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลงนามของผู้ว่าราชการเก่าที่ว่า "พระตะกั่วทุ่งบางขลี" เสียใหม่เป็น "พระบริสุทธิ์โลหภูมินทราธิบดี"
ทั้งทรงตั้ง "พระบริสุทธิ์โลหการ"
ตำแหน่งผู้ช่วยอากรดีบุกขึ้นในเมืองตะกั่วทุ่งอีกตำแหน่งหนึ่ง
และพร้อมกันนั้นได้ทรงแปลงนามผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่าที่ว่า "พระยศภักดีศรีพิไชยสงคราม" เป็น "พระเสนานุชิตสิทธิสาตรามหาสงครามสยามรัฐภักดีพิริยพาห" หลวงปลัด แปลงใหม่ว่า "พระวิชิตภักดีศรีสุริยสงคราม"
"หลวงนุรักษ์โยธา" ผู้ช่วย แปลงว่า "พระเรืองฤทธิ์รักษาราช" และทรงตั้ง "พระสุนทรภักดี" ตำแหน่งผู้ช่วยราชการในอากรดีบุกเมืองตะกั่วป่าขึ้นใหม่
ต่อมาเมืองตะกั่วทุ่งได้ยุบเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองพังงา
เมื่อได้มีการจัดรวม "เมือง" ในบริเวณเดียวกันจัดเป็น "มณฑล" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ ในรัชกาลที่ ๕ เมืองต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ในมณฑลภูเก็ตมีเพียง ๖ เมือง
คือ ภูเก็ต ตรัง กระบี่ ตะกั่วป่า พังงา และระนอง
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๗ ใน พ.ศ. ๒๔๗๔ ฐานะของเศรษฐกิจภายในประเทศไทยกำลังอยู่ในลักษณะที่ทรุดโทรมตกต่ำอย่างน่ากลัว
จึงได้มีการตัดทอน
รายจ่ายของประเทศในด้านต่างๆ ลงมามากมาย
สมัยนั้นมณฑลภูเก็ตแบ่งการปกครองเป็น ๗ จังหวัด (ขณะนั้นเปลี่ยนเรียก "เมือง" เป็น "จังหวัด
มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แล้ว") คือ ภูเก็ต ระนอง ตะกั่วป่า พังงา
กระบี่ ตรัง และสตูล (เดิมสตูลขึ้นกับเมืองไทรบุรี
แต่หลังจากได้มีการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.
๒๔๕๒ แล้ว เมืองไทรบุรีตกเป็นของอังกฤษ จึงโปรดให้สตูลไปรวมอยู่ในมณฑลภูเก็ตเมือง ๖
สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๓) รัฐบาลต้องการยุบเสียจังหวัดหนึ่งให้เหลือเพียง ๖ จังหวัด
จังหวัดที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องพิจารณายุบฐานะมีจังหวัดตะกั่วป่าและพังงา
ครั้นถึงวันนัดสมุหเทศาภิบาลประชุมผู้ว่าราชการจังหวัด
ผู้ว่าราชการจังหวัดตะกั่วป่าไปเข้าประชุมไม่ทัน เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวก
จังหวัดตะกั่วป่าจึงถูกยุบลงเป็น "อำเภอ" และให้ขึ้นอยู่กับจังหวัดพังงา หลังจากนั้นอีก ๑ ปี
มณฑลภูเก็ตก็ถูกยุบอีกให้จังหวัดต่างๆ ขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทยจนถึงปัจจุบันนี้
เก็บความจากคณิต เลขะกุล,
"พังงาในด้านประวัติศาสตร์" ,อนุสาร
อ.ส.ท. (ปีที่ ๘
ฉบับที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๑),หน้า ๒๙-๓๑, หน้า ๕๓-๕๕.
ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดพังงา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ดี.แอล.เอส,
๒๕๒๘.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น